The Elder Scrolls Wikia
Advertisement
สำหรับแคว้นนี้ใน The Elder Scrolls Online ดูที่ Cyrodiil (Online).
Cyrodiil

แผนที่ของ Cyrodiil

Quotebg.png
"It's our natural barriers that keep us safe, mostly. Mountain borders north and east, open sea to the west, and bogs and rainforest to south."
Adamus Phillida[src]

ซีโรดีล (Cyrodiil) หรือรู้จักกันในนาม Cyrod[1] หรือ Imperial Province ในตอนที่จักรวรรดิ (Empire) ก่อตั้งขึ้น,[2] เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ Tamriel เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจเหนือ Tamriel[3] และยังเป็นภูมิลำเนาของชาว Imperial อีกด้วย

เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งอยู่กลางทวีป Tamriel จักรพรรดิ (Emperor) และสภา (Elder Council) ได้ปกครองจักรวรรดิทั้งหมดจาก Imperial City Cyrodiil เป็นแคว้นที่ทรงพลังและมั่งคั่งอีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิ ชนพื้นถิ่นของแคว้น Cyrodiil เรียกว่าชาว "Cyrodilic"  Cyrodiil ได้ถูกเลือกให้เป็นแคว้นที่ใช้ดำเนินเรื่องใน The Elder Scrolls IV: Oblivion

การปกครอง[]

OB-interior-Imperial Palace, Elder Council Chambers

The Elder Council

ระบอบการปกครองของ Cyrodiil จะใช้เจ้าเมือง (Count(ess)) ซึ่งขึ้นตรงกับจักรพรรดิและเป็นส่วนหนึ่งของสภา The Elder Council ปกครองหัวเมืองและมณฑลโดยรอบ โดย Imperial City เป็นเมืองเดียวที่ไม่ได้ปกครองโดยเจ้าเมืองแต่ปกครองโดยองค์จักรพรรดิ

เมือง Imperial City นั้นไม่ได้กำหนดขอบเขตมณฑลแน่นอน แต่กำหนดขอบเขตอำนาจจาก Imperial Reserve ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกไปจนถึงบึง Nibenay (Nibenay Basin) ทางตะวันออก

สภา Elder Council เป็นศูนย์กลางการปกครองของจักรวรรดิ (The Empire of Tamriel) โดยที่ประชุมของสถาคือห้องโถงใจกลาง Imperial Palace complex ภายใน Imperial City รัฐบาลของจักรวรรดิเป็นระบอบสภาเดี่ยว โดยสมาชิกของสภาจะถูกแต่งตั้งขึ้นมาทั้งหมด ซึ่งคุณสมบัติของสมาชิกสภานั้นไม่ได้กำหนดแน่นอนแต่มักประกอบด้วยเจ้าเมืองทั้งหมดของ Cyrodiil และชนชั้นสูงในแคว้นอื่นๆ เช่น Jarl แห่ง Skyrim รวมทั้งผู้บัญชาการกองกำลังทหารและยามรักษาการณ์ โดยอำนาจการแต่งตั้งจะมาจากจักรพรรดิซึ่งรัฐบาลที่ก่อตั้งขึ้นมานี้จะมีอำนาจการปกครองทั้งจักรวรรดิ

กองทัพ[]

Ava emperor

กองทัพจักรวรรดิ

ในแต่ละเมืองจะมีทหารรักษาการณ์ (City watch) ประจำอยู่บริเวณในเมืองและประตูของปราสาท โดยทหารรักษาการณ์จะอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของ หัวหน้าทหารรักษาการณ์ซึ่งขึ้นตรงต่อเจ้าเมืองนั้นๆ หน้าที่ของทหารรักษาการณ์คือดูแลความสงบของเมืองและมณฑล รวมถึงรักษาความเป็นธรรมเมื่อมีเหตุอาชญากรรม นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันสุดท้ายของเมืองเมื่อมีข้าศึกบุกอีกด้วย

ใน Imperial Province กองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดคือ Imperial Legion ซึ่งเป็นกองกำลังหลักของ Cyrodiil และจักรวรรดิ โดยถือเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งไร้ผู้ต่อต้าน กองทหาร Imperial Legion นั้นประกอบด้วยชาว Imperial (เสนาธิการส่วนใหญ่เป็นชาว Imperial) Redguards, Nords, Bretons, Orcish และ Dark Elf จำนวนเล็กน้อย โดยมีศูนย์บัญชาการใหญ่อยู่ที่เขตราชทัณฑ์ (Imperial City's Prison District)

กองทหาร Imperial Legion ทำงานภายใต้คณะรัฐบาลด้วยการสนับสนุนจากจักรพรรดิ ในยามสันติ ทหารของกอง Imperial Legion (The Legionnaires) จะทำหน้าที่เป็นทหารรักษาการณ์และในยามสงครามมักถูกใช้เป็นกองบุกทะลวงซึ่งกองทหาร Imperial Legion นั้นเป็นที่หวาดหวั่นและกล่าวขานกันว่าไร้ผู้ต่อต้านด้วยจำนวนมหาศาลและวินัยของทหารที่เคร่งครัด

ทหารรักษาการณ์จะสวมใส่เกราะโซ่ถัก (Chain mail) เกราะหุ้มเข่า (Hauberk) และเกราะ Tabard ย้อมด้วยสีสัญลักษณ์ของเมืองและประดับด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ยกเว้นเมือง Skingrad ที่ใช้เกราะเหล็ก (Steel armor) แทนเกราะโซ่ถัก นอกจากนั้นยังอาจมีประดับเกราะ, เกราะขา รองเท้า, ถุงมือ และหมวกเกราะด้วย

Legionnaires ส่วนใหญ่จะสวมเกราะผสมระหว่างเกราะหนังสัตว์และเกราะโซ่ถักคล้ายชุดของจักรวรรดิโรมัน เรียกว่า Imperial Light Armor อย่างไรก็ตามทหารระดับนายกอง (Legate) ของ The Imperial Legion (The Legion Legates) จะสวมใส่ชุด Imperial Armor ซึ่งคล้ายคลึงกันอย่างมากกับชุด Roman Lorica Segmentata หรือ Roman Legionnaire armor เพื่อแสดงถึงสถานะในกองทัพ

ประวัติศาสตร์[]

ยุคที่ 1 (The First Era)[]

Wendir ruin by raffer c-d4x5syn

ซากปรักหังพังของอารยธรรม Ayleid

ดูบทความหลักที่: Histories of Cyrodiil Aldmer เป็นชนเผ่าแรกที่เข้ามาตั้งรกรากใน Tamriel ชาว Aldmer ได้ปักหลักอาศัยอยู่ในบริเวณ Summerset Isles และรอบชายฝั่งของ Tamriel มีเพียงเรื่องเล่ากันมาปากต่อปากและส่วนหนึ่งในบทกวีของ Topal the pilot นักผจญภัยและสำรวจชาว Aldmer ว่าแท้จริงแล้วมีชนเผ่าเก่าแก่ได้หลบซ่อนอยู่ในเงามืดภายในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งการมีตัวตนอยู่ของชนเผ่าดังกล่าวยังคงเป็นปริศนา

ประวัติศาสตร์ของ Cyrodiil ยังไม่มีการบันทึกอย่างเด่นชัดมากนัก จนกระทั่งการกำเนิดของชนเผ่า Ayleid จึงถือเป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของชาว Cyrodilic อย่างแท้จริง ดังที่กล่าวในหนังสือ A Pocket Guide To The Empire, "Ayleid เป็นเผ่าพันธุ์ Altmer เก่าแก่ นับเป็นเครือญาติของทุกเผ่าพันธุ์เอลฟ์ที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบัน จากอดีตถึงปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่โดดเด่น Ayleid ได้สร้างอารยธรรมขึ้นบน Tamriel ซึ่งซากปรักหักพังของอารยธรรมที่หลงเหลือยังคงเป็นปริศนาที่ต้องแก้ต่อไปสำหรับนักโบราณคดีและนักผจญภัยในปัจจุบัน "

ต่อมาชาว Nedic โบราณได้เดินทางเข้ามาสู่ Tamriel และได้ขยายรกรากลงทางใต้จากบริเวณเขตอาร์คติกของแคว้น Skyrim ซึ่งภายหลังพวกเขาตกได้เป็นทาสของชาว Ayleid เมื่อความตึงเครียดระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเอลฟ์ (Man and Mer) พุ่งขึ้นจนถึงขีดสุดทำให้เกิดหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดขึ้นในประวัติศาสตร์ Cyrodiil นั่นคือ "การปฏิวัติของทาส 1E242 (The slave rebellion of 1E 242)" ขึ้นในปี 1E242 การต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเอลฟ์ดำเนินอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดกลุ่มกบฎนำโดย Alessia ได้บุกยึดครองดินแดนและมอบอิสรภาพแก่มนุษย์ ซึ่งชาว Nedic นี้เองทีเป็นบรรพบุรุษของชาว Nord และ ชาว Imperial

ด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรกับแคว้น Skyrim จักรวรรดิ Alessian (The Alessian Empire) ได้ขยายอาณาเขตทางตะวันตกสู่ High Rock, ซึ่งขณะนั้นอยู่ใต้การปกครองของตระกูล Direnni ซึ่งจุดนี้นับเป็นการเปิดฉากประวัติศาสตร์อีกบทหนึ่ง ดังที่ได้อธิบายไว้ในหนังสือ "A Pocket Guide to the Empire": "คำสอนของโหราจารย์ Marukh ได้นำมาซึ่งเอกลักษณ์ของ Cyrodiil อีกทั้งประมวลความเชื่อของมนุษย์ส่วนใหญ่ใน Tamriel เช่นเดียวกันกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อันเนื่องมากจากการกล่าวหาที่ฉกาจฉกรรจ์ที่เขาได้สนับสนุน"

555 max

การรุกรานของชาว Akaviri

เหตุการณ์ใหญ่ในประวัติศาสตร์ Cyrodiil เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 1E 2703: การบุกรุกของชาว Akaviri (The Akaviri invasion) เหตุการณ์นี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อ Cyrodiil แต่ได้รวบรวมชาว Tamriel ทั้งหมดต่อสู้กับภัยรุกรานใหม่จากทวีป Akavir จากการต่อสู้กับชาว Akaviri ทำให้ภายหลังชาว Tamriel ได้ตระหนักถึงคุณค่าของแผ่นดินมีการร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น ภายใต้กฎใหม่ของจักรพรรดิ Reman ที่ 1 (Reman I) Cyrodiil ได้กลายเป็นแคว้นสากล และได้มีการรวบรวมสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมต่างๆเข้าด้วยกันทั้ง High rock, Colovian, Nibenean แม้กระทั่ง Akaviri เหตุการณ์ดังกล่าวนำมาซึ่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมของ Cyrodiil และปล่อยให้ชนเผ่าต่างๆ ตั้งรกรากได้อย่างอิสระ ซึ่งชาว Imperials เลือกที่จะอยู่บริเวณใจกลางของ Cyrodiil ในทางกลับกันเผ่าพันธุ์อย่าง Argonian แห่ง Black Marsh และ Khajiit แห่ง Elsweyr ได้เลือกบริเวณที่เหมาะสมต่อการดำรงชีพของตนเองห่างออกไปจากมนุษย์

ยุคที่ 2 (The Second Era)[]

จักรวรรดิที่ 2 แห่ง Cyrodiil ยังขยายต่อไปและครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของ Tamriel เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติจนกระทั่งเกิดการลอบสังหารจักรพรรดิ Reman ที่ 3 (Reman III) และพระราชโอรส Juilek ซึ่งนับเป็นจุดจบของยุคที่ 1 และจักรวรรดิที่ 2 แห่ง Tamriel

คณะรัฐบาลได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ Akaviri Potentates จนกระทั่ง Potentate คนสุดท้ายถูกลอบสังหารในปี 2E 430 ทำให้จักรวรรดิไม่มีการพัฒนาอีกต่อไป ตลอดจนเวลาที่เหลือของยุคที่ 2 Tamriel ได้กลายเป็นรัฐที่โกลาหลและเต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน ซึ่งรู้จักกันในนามภาวะสุญญากาศทางอำนาจ (The Interregnum) Nibenay และ Colovia แยกออกจากกัน ฟาร์ม หมู่บ้านและแม้แต่ถนนถูกทำลาย เกิดการคว่ำบาตรขึ้นระหว่างเมืองต่างๆ ในเมืองเต็มด้วยการขโมย ปล้นสดมภ์ และ

Talos Shrine

รูปปั้นของ Tiber Septim

เข่นฆ่ากัน หลายต่อหลายคนพยายามอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ ทำให้เกิดการต่อสู้กันระหว่างเมืองใกล้เคียงเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ เกิดการปะทะกันขึ้นทุกหนแห่ง แต่มีน้อยครั้งที่จะเกิดเป็นสงครามเต็มอัตราศึก ความวุ่นวายครั้งนี้คงอยู่กว่าศตวรรษ จนกระทั่ง Tiber Septim สามารถรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นและสถาปนาจักรวรรดิที่ 3 แห่ง Tamriel (The Third Empire of Tamriel) ได้สำเร็จ จักรวรรดิใหม่ได้สร้างระบอบการปกครองและกฎหมายใหม่ทั้งหมดทำให้ Cyrodiil และดินแดนส่วนที่เหลือกลับมาพัฒนาขึ้นได้อีกครั้ง

ด้วยพระปรีชาสามารถของจักรพรรดิ Tiber Septim เขาได้ถูกยกย่องเป็น "Talos the Merchant, Watcher of the Empire" ด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมทำให้จักรวรรดิแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่รวบรวมแผ่นดินได้สำเร็จ มนุษย์ได้ละความสนใจจากพวกเอลฟ์ไปชั่วขณะ เนื่องจากทุกคนต่างอ่อนแอลงจาก The War of the Red Diamond และ The Imperial Simulacrum.

ยุคที่ 3 (The Third Era)[]

The Imperial Province ยังคงเป็นหัวใจที่มั่นคงของจักรวรรดิ โดยภาคในยุคนี้ จักรวรรดิจะเน้นแก้ปัญหาความขัดแย้งของชนเผ่าต่างๆด้วยวิธีทางการทูตมากกว่าใช้กำลังทหาร การแต่งงานของ Lady Alessia ธิดาแห่ง Countess of Chorrol กับ Count Marius Caro แห่ง Leyawiin เป็นตัวอย่างที่ดีของนโยบายทางการทูตของจักรวรรดิ

แม้กระนั้นก็ยังมีช่วงเวลาที่น่ากลัวใน Cyrodiil ข่าวการระบาดของโรค Knahaten Plague ครั้งแรกในรอบศตวรรษทำให้เกิดการแตกตื่นไปทั่วบริเวณพรมแดนทิศใต้ที่ติดกับ Black Marsh ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นข่าวลวงซึ่งอาจมาจากการต่อสู้กลับของชาว Argonians ต่อการรุกรานของชาว Imperial นำโดย Blackwood Company ทั้งยังมีเหตุการณ์การต่อสู้แก่งแย่งมรดกภายในครอบครัวเจ้าเมือง Kvatch จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ Count Haderus Goldwine สูญเสียบุตรชายทั้งสองไป เมื่อเหตุการณ์การสงบลงเจ้าเมือง Kvatch ก็ไม่ได้แต่ตั้งผู้สืบทอดต่อ เนื่องด้วยความเศร้าสลดต่อการจากไปของบุตรชาย

หลังจากการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดินี องค์จักรพรรดิเลือกที่จะไม่แต่งงานใหม่ บุตรที่เกิดจากทั้งสองพระองค์ต่างเรียนรู้ศาสตร์การเมืองจากพระบิดา เจ้าชาย Geldall Septim (Crown Prince Geldall) ได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากจักรพรรดิ Uriel Septim ด้วยการปกครองอย่างเฉียบแหลมทำให้หัวใจแห่งจักรวรรดิและอาณาจักรทั่วทั้ง Tamriel แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สถานการณ์ของ Tmriel พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เริ่มด้วยการลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิ Uriel Septim ที่ 7 (Uriel Septim VII) รวมถึงโอรสทั้งสาม และเลวร้ายถึงขีดสุดเมื่อ 1 ใน 16 Daedric Princes Mehrunes Dagon เทพปีศาจแห่งการทำลายล้างได้บุกเข้าโจมตี Imperial City 

SiegeKvatch1

Oblivion Gate ที่ปรากฎขึ้นในเมือง Kvatch

เหตุการณ์ดังกล่าวรู้จักกันดีในนามวิกฤติการณ์ Oblivion (Oblivion Crisis) ประตูมิติ Oblivion Gate เปิดขึ้นทั่วทั้ง Tamriel ซึ่งประตูแรกปรากฎขึ้นที่เมือง Kvatch และทำลายทั้งเมืองลงอย่างราบคาบ ในภายหลังเหตุการณ์นี้ได้ถูกเรียกว่า "การปล้นสดมภ์แห่ง Kvatch (The Sacking of Kvatch)" และยังเกิดการต่อสู้ขึ้นในจุดอื่นๆของ Cyrodiil ได้แก่: The Battle of Bruma และ The Battle of the Imperial City. ด้วยการสละชีวิตของบุตรนอกสมรสของจักรพรรดิ Uriel Septim VII Martin Septim (ซึ่งภายหลังได้ครองตำแหน่งจักรพรรดิ) และการช่วยเหลือของเทพมังกรแห่งกาลเวลา Akatosh ได้ขับไล่ Mehrunes Dagon กลับสู่ Oblivion หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว Tamriel ได้เข้าสู่ความโกลาหล และการต่อสู้กันทางการเมืองอีกครั้ง

ยุคที่ 4 (The Fourth Era)[]

หลังจากเหตุการณ์ Oblivion Crisis และการสละพระชนม์ชีพของจักรพรรดิ Martin Septim ถือเป็นการเริ่มต้นยุคที่ 4 หลังจากการเสียชีวิตของ Potentate Ocato ในปี 4E 10 ภาวะสุญญากาศทางการเมือง (Stormcrown Interregnum) ได้กลับมาอีกครั้ง นำมาซึ่งการแก่งแย่งบัลลังก์แห่ง Tamriel อีกคราหนึ่ง ในปี 4E 17 ราชวงศ์ Mede (The Mede dynasty) ได้เรืองอำนาจขึ้นเมื่อ Titus Mede ที่ 1 (Titus Mede I) ขุนพลชาว Colovian ในเวลาดังกล่าวสามารถยึดเมือง Imperial City ได้จากผู้อ้างสิทธิในบัลลังก์ ชาว Nibenean Thules the Gibbering และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิ Titus Mede ที่ 1 ถือเป็นการสิ้นสุด Stormcrown Interregnum

ไม่นานหลังจาก Imperial City ตกเป็นของ Mede, Eddar Olin กระทำการบุกเข้ายึด Imperial City แต่ได้พ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็วแก่จักรพรรดิ Titus Mede ที่ 1 (Titus Mede I) ซึ่งการมีอำนาจขึ้นมาของราชวงศ์ Mede ช่วยทำให้จักรรวรรดิยังคงอยู่ต่อไป ในปี 4E 49 Cyrodiil ถูกคุกคามอีกครั้งหนึ่งจากเมืองลอยฟ้าแห่ง Umbriel (เนื้อเรื่องใน The Elder Scrolls Novel : The Infernal City ) ซึ่งจักรวรรดิสามารถเอาชนะไปได้ในที่สุด ด้วยการช่วยเหลือไว้ของพระราชโอรส เจ้าชาย Prince Attrebus Mede

ในปี 4E 168 Titus Mede ที่ 2 (Titus Mede II) บรมราชาภิเษกขึ้นสู่บัลลังก์ ในขณะนั้นจักรวรรดิได้อ่อนแอลงเป็นอย่างมาก แคว้น Valenwood และ Elsweyr ถูกยึดได้โดย Aldmeri Dominion, แคว้น Black Marsh ได้ประกาศตนเองเป็นสาธารณรัฐซึ่งภายหลังสามารถยึดบริเวณภาคใต้ของ Morrowind ได้ในเหตุการณ์ การรุกรานของ Argonian (The Argonian Invasion) และใน Hammerfell ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นระหว่างกลุ่ม Crowns และ Forebears แต่ยังนับเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ สรุปได้ว่าในปี 4E 168 จักรวรรดิเหลือดินแดนเพียง 4 แคว้นคือ Cyrodiil, Skyrim, High Rock และ Hammerfell

Queen Ayrenn official artwork

Aldmeri Dominion

ในวันที่ 30th ฤดูกาล Frostfall ปี 4E 171 Aldmeri Dominion ได้ส่งเอกอัครราชทูตมายัง Imperial City พร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการ (ในเกวียนที่ห่อหุ้มตกแต่งเป็นอย่างดี) และยื่นคำขาดมายังจักรพรรดิองค์ใหม่นั่นคือ การไม่กำหนดเวลาการส่งบรรณาการ, การยุบหน่วย Blades, ห้ามการบูชา Talos และสละพื้นที่จำนวนมากใน Hammerfell ในแก่ Aldmeri Dominion แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นการย้ำเตือนถึงความอ่อนแอของกองทัพจักรวรรดิ แต่จักรพรรดิ Titus Mede ที่ 2 ก็ได้ปฏิเสธคำขาดของ Aldmer

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เอกอัครราชทูตแห่ง Thalmor คว่ำเกวียนบรรณาการลง หัวมนุษย์นับร้อยได้กลิ้งออกมา ซึ่งก็คือหัวของหน่วย Blades ทุกๆคนใน Summerset Isles และ Valenwood ที่ถูกประหาร และนับเป็นการประกาศสงคราม Great War ระหว่างจักรวรรดิและ Aldmeri Dominion ในเวลาไม่กี่วัน กองทัพ Aldmeri บุกเข้าสู่ Hammerfell และ Cyrodiil อย่างรวดเร็ว กองทัพที่แข็งแกร่งนำโดยขุนพล Thalmor นาม Lord Naarifin โจมตี Cyrodiil จากทิศใต้โดยเคลื่อนทัพจากค่ายลับทางตอนเหนือของ Elsweyr และตีโอบแนวป้องกันของ Imperial มาตามแนวพรมแดน Valenwood เมือง Leyawiin ตกเป็นของเหล่าผู้รุกรานอย่างรวดเร็ว และเมือง Bravil ได้ถูกตัดขาดและปิดล้อมไว้ (ภายหลังพบว่าเบื้องหลังพลังอันแข็งแกร่งของ Naarifin มาจาก Boethiah)

สุดท้ายในปี 4E 175 ได้มีการเซ็นสนธิสัญญา White-Gold Concordat ถือเป็นการจบสงครามอย่างเป็นทางการ 2 บทบัญญัติในสนธิสัญญาดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมากต่อจักรวรรดิ

ประการแรก พื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนใต้ของแคว้น Hammerfell ได้ตกเป็นของ Aldmeri Dominion ชาว Redguards โกรธเคืองจักรวรรดิเป็นอย่างมากที่ใช้พื้นที่ของตนเองเป็นเงื่อนไขในการสงบศึกกับเหล่าเอลฟ์ และได้ก่อสงครามขึ้นกับ Aldmeri ผลลัพธ์จากเหตุการดังกล่าวทำให้จักรวรรดิประกาศสละ Hammerfell และทอดทิ้งชาว Redguards ด้วยความแข็งแกร่งและชาญสงครามของชาว Redguards จึงสามารถกำชัยเหนือกองทัพ Aldmeri ได้ในที่สุด แต่ก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง Hammerfell และ Cyrodiil ไม่อาจแน่นแฟ้นเหมือนในอดีต

ประการที่ 2 การที่ประกาศให้การบูชา Talos กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ทำให้นพเทวะ (Nine Divines) เหลือเพียงอัฏฐเทวะ (Eight Divines) สำหรับชาว Nords ถือว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างยิ่งยวด Ulfric Stormcloak และชาว Nord บางกลุ่มยังคงแอบบูชา Talos อยู่อย่างลับๆ ความโกรธเกรี้ยวของชาว Nord แก่สนธิสัญญา White-Gold Concordat เป็นหนึ่งในแรงขับดันสำคัญของเหตุการณ์ Civil War ใน Skyrim.

การปล้นสดมภ์ใน Imperial City รวมถึงการตกอยู่ภายใต้การปกครองของ Aldmeri Dominion เป็นเวลานานของเมือง Anvil, Bravil และ Leyawiin แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ทางด้านตะวันตกและด้านใต้ของ Cyrodiil ได้รับความเสียหายอย่างมากจาก Great War อีกทั้งยังกล่าวกันว่า Cloud Ruler Temple ถูกทำลายโดยกองทัพ Aldmeri นั่นหมายถึงขณะทำสงครามกันอยู่ยังมีส่วนหนึ่งของกองทัพ Aldmeri ประจำอยู่ในตอนเหนือของ Cyrodiil อีกด้วย

ในขณะที่ผู้คนมากมายต่างโกรธแค้นจักรวรรดิที่ได้เซ็นสนธิสัญญาดังกล่าว อาจสามารถโต้แย้งได้ว่าหากจักรวรรดิไม่ยอมเซ็นสนธิสัญญาแล้ว จักรวรรดิอาจถูกทำลายลงโดย Aldmeri Dominion

สภาพทางภูมิศาสตร์[]

Nibenay Valley

หุบเขา Nibenay

Cyrodiil เป็นแคว้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ใน Tamriel มีพื้นที่ประมาณ 162,300 ตารางไมล์ (415,488 ตารางกิโลเมตร) โดยมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าและภูเขา ใจกลางของแคว้นคือบริเวณหุบเขา Nibenay (Nibenay Valley) ซึ่งเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่โอบล้อมด้วยป่าฝนเขตร้อน เนื่องจากแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ณ จุดนี้ ทำให้พื้นที่ค่อยๆกลายเป็นแบบกึ่งเขตร้อน ความสูงจากระดับน้ำทะเลของผืนดินค่อยเพิ่มขึ้นไปทางด้านตะวันตก และเพิ่มขึ้นอย่างมากในทางด้านเหนือ โดยพื้นที่ทางด้านตะวันตกนั้นค่อนข้างแห้งแล้งเมื่อเปรียบเทียบกับบริเวณอื่นๆ พรมแดนทางด้านตะวันออกนั้นติดกับ Velothi Mountains (หรือที่ชาว Imperials เรียกว่า Valus Mountains) ซึ่งมีเส้นทางที่สามารถใช้เดินทางมายัง Cyrodiil ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้คนนิยมเดินทางทางน้ำมากกว่า Cyrodiil เป็นแคว้นที่มีความหลากหลายของภูมิประเทศและภูมิอากาศมากที่สุดในบริเวณทั้งหมดของ Tamriel

หุบเขา Nibenay (The Nibenay Valley) เป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดใน Cyrodiil โดยมีพื้นที่เป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่มีทะเลสาบ Rumare (Lake Rumare) อยู่บริเวณใจกลาง ในทะเลสาบประกอบด้วยเกาะแก่งจำนวนมากเชื่อมกันด้วยสะพาน บริเวณเกาะใจกลางคือที่ตั้งของ Imperial City เมืองอื่นๆของ Cyrodiil ได้แก่  Anvil, Bravil, Bruma, Chorrol, Cheydinhal, Kvatch, Leyawiin และ Skingrad.

พื้นที่ด้านตะวันตกของ Cyrodiil เรียกว่า Colovia ได้แก่พื้นที่บริเวณ Gold Coast, West Weald, Colovian Highlands และ Imperial Reserve. เมืองที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ได้แก่ Skingrad, Anvil, Chorrol และ Kvatch 

เมืองหลวงของมณฑลต่างๆ[]

Anvil[]

Anvil เป็นเมืองท่าและเมืองหลวงแห่งมณฑล Anvil ตั้งอยู่ทางสุดทิศตะวันตกของ Cyrodiil ติดกับ Abecean Sea. The Great Chapel of Dibella ซึ่งผู้บูชานพเทวะ (The Nine Divines) ต่างมาเพื่อขอพร บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของ Anvil เป็นที่ตั้งของ the statue of the Selkie of West Ferry ซึ่งใช้เพื่อนำทางการเดินเรือตลอดชายฝั่ง Gold Coast ส่วนปราสาท Anvil ที่อยู่ของ Countess Millona Umbranox ตั้งอยู่ในบริเวณเกาะทางทิศใต้ของเมือง

Bravil[]

Bravil ตั้งอยู่บริเวณทิศใต้ของ Cyrodiil บนคาบสมุทรเล็กๆบริเวณปากแม่น้ำ Larsius ไหลลงสู่อ่าว Niben (Niben Bay) จากลักษณะของสิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมอาจกล่าวได้ว่า Bravil เป็นเมืองที่ร่ำรวยน้อยที่สุดใน Cyrodiil เมืองเต็มไปด้วยอาชญากรรมและยังมีแหล่งมั่วสุมเพื่อสูบ skooma อยู่ภายในกำแพงเมือง โดยเมืองนี้เป็นที่ฝังศพของ Night Mother

Bruma[]

Bruma เป็นเมืองทางเหนือสุดของ Cyrodiil, ตั้งอยู่บน Jerall Mountains ติดพรมแดน Skyrim การที่ Bruma ตั้งอยู่ในละติจูดสูงรวมถึงการที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ทำให้สภาพอากาศมีความแตกต่างอย่างมากกับบริเวณอื่นๆใน Cyrodiil โดยเมืองมักปกคลุมด้วยหิมะอยู่เสมอ นานๆครั้งถึงจะปรากฎสภาพอากาศสดใส Bruma ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากชาว Nords ในการปรับตัวกับสภาพอากาศที่เป็นอยู่

Cheydinhal[]

Cheydinhal เป็นเมืองที่ใกล้กับพรมแดน Morrowind มากที่สุดติดกับ Velothi Mountains เนื่องจากความใกล้ชิดกับ Morrowind ทำให้ Cheydinhal ได้รับอิทธิพลจากชาว Dunmer (Dark elves) เป็นอย่างมาก พรมแดนของมณฑล Cheydinhal คือทะเลสาบ Arrius ทางด้านเหนือ จวบจนถึงแม่น้ำ Reed ทางด้านใต้และทะเลสาบ Poppad ทางตะวันออกเฉียงใต้ ตัวเมือง Cheydinhal สร้างอยู่ติดกับทะเลสาบตรงบริเวณเชิงเขา

Chorrol[]

Chorrol เป็นเมืองใหญ่ใน Cyrodiil ตั้งอยู่ใน The Great Forest ใกล้กับพรมแดน Hammerfell ป้อมปราการของเมืองได้ถูกเสริมสร้างให้แข็งแกร่งเป็นอย่างมากจากการปกครองของเจ้าเมือง Chorrol ในบริเวณใกล้กันเป็นที่ตั้งของ Weynon Priory, a monastery of the Order of Talos ปราสาทของ Countess Arriana Valga ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง

Imperial City[]

The Imperial City พื้นที่หัวใจของ Tamriel เป็นหลวงของจักรวรรดิ (The Empire of Tamriel) จากยุคที่ 1 ถึงยุคที่ 4 หอคอย White-Gold Tower ยังคงเป็นใจกลางของอารยธรรม Tamrielic และประทีปแห่งจรวรรดิ อีกทั้งครั้งหนึ่งยังเคยเป็นเมืองหลวงของ Ayleid สังเกตได้จากสถาปัตยกรรมสีขาวแพรวพราว (Gleaming white) และอนุสาวรีย์ที่งดงาม

Kvatch[]

Kvatch เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บน Gold Road ระหว่างเมือง Anvil และ Skingrad เจ้าเมืองผู้ปกครอง Kvatch คือ Ormellius Goldwine ก่อนจะถูกสังหารโดยกองทัพของ Mehrunes Dagon เช่นเดียวกับประชากรส่วนใหญ่ ก่อนจะถูกทำลาย Kvatch เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ใน Cyrodiil และหลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ Oblivion Crisis เมือง Kvatch ได้ถูกบูรณะกลับมาอีกครั้ง

Leyawiin[]

Leyawiin เป็นเหมืองชายฝั่ง เมืองหลวงแห่งมณฑล Leyawiin ตั้งอยู่ในเขต Blackwood ทางด้านใต้ของ Cyrodiil มณฑล Lewayiin อยู่ติดกับ Southern Nibenay Basin, พรมแดน Black Marsh ทางตะวันออก, พรมแดน Elsweyr ทางตะวันตกและอ่าว Topal (Topal Bay) ทางทิศใต้ จากเมือง Leyawiin สามารถเดินทางโดยใช้แม่น้ำ Niben ขึ้นไปสู่ Imperial City ได้

Skingrad[]

Skingrad เป็นเมืองใหญ่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Imperial City บน Gold Road ใกล้พรมแดน Valenwood เมือง Skingrad โดดเด่นในด้านความมั่งคั่ง ในเมืองแบ่งออกเป็นสองส่วนคือฝั่งเหนือและฝั่งใต้ ทางด้านเหนือประกอบด้วยบ้านของผู้มีฐานะ ร้านค้าและกิลด์ ทางด้านใต้เป็นที่ตั้งของโบสถ์และประชากรที่เหลือ ก่อนที่ Kvatch จะถูกทำลาย Skingrad เป็นเมืองที่ใหญ่อันดับ 3 ของ Cyrodiil

เศรษฐกิจ[]

เศรษฐกิจของ Cyrodiil ถูกแบ่งเป็นหลายส่วนตามพื้นที่ บริเวณใจกลางของแคว้นคือที่ตั้งของ Imperial City เป็นบริเวณที่มั่งคั่งที่สุดซึ่งเป็นบริเวณการค้าโดยธรรมชาติ ทางด้านตะวันตกของ Cyrodiil เมืองต่างๆต้องพึ่งพาตนเอง Skingrad, Leyawiin และ Anvil ต่างเป็นเมืองที่มั่งคั่ง ตรงกันข้ามกับ Bravil ซึ่งเป็นเมืองที่ยากแค้นที่สุด เศรษฐกิจของ Cyrodiilถูกใช้เป็นแม่แบบกับระบบเศรษฐกิจของส่วนอื่นๆของจักรวรรดิ ข้าวและสิ่งทอจัดเป็นวัตถุส่งออกหลักควบคู่กับสมบัติลึกลับเช่นเกราะหนังสัตว์, Moon sugar และ Ancestor-silk

ชนเผ่าพื้นเมือง[]

Imperial[]

ชาว Imperial เป็นชนเผ่าที่ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี ชาว Imperial มีชื่อเสียงในด้านความมีวินัยและการกองทัพที่แข็งแกร่ง ด้วยสิ่งนี้ทำให้ชาว Imperial สามารถยึดครอง Tamriel มากว่า 2,000 ปี แท้จริงแล้วคำว่า "ชาว Imperial" เป็นคำที่ให้ความหมายไม่ตรงนัก โดยประชากรของ Cyrodiil ถูกแบ่งเป็น 2 เชื้อชาติ-วัฒนธรรม นั่นคือชาว Nibenean และชาว Colovian ทั้งคู่สืบเชื้อสายมาจากชาว Nedic และ Cyro-Nordic ซึ่งเคยเป็นทาสของชาว Ayleid แต่ได้แยกออกจากกันด้วยการถูกรุกรานและการมีปฏิสัมพันธ์กับชนเผ่าอื่น ชาว Colovian Imperial ใน Cyrodiil ตะวันตกมีความเป็น Nordic มากกว่า โดยมีความเชื่อและประเพณีต่างๆคล้ายกัน ส่วนชาว Nibenean ได้รับอิทธิพลมาจากชาว Akaviri และเอลฟ์มากกว่า โดยวัฒนธรรมจะเกี่ยวข้องกับ เวทย์มนต์, ศิลปะ, การค้า, และจิตวิญญานมากกว่าชาก Colovian ทั้งสองกลุ่มแสดงถึงความกลมกลืนผสมผสานกันของวัฒนธรรม Nordic, Aldmeri และ Akaviri ที่เข้ามาในจักรวรรดิ

Ayleid[]

ชาว Ayleid หรือ Wild Elves หรือ Heartland High Elves คือชาว Aldmer ที่อพยพเข้ามาในช่วง Merethic Era ชาว Ayleid นับถือทั้ง Aedric, Daedric และEt'Ada ชาว Ayleid ได้กดขี่ชาว Nede ให้กลายเป็นทาส เมืองของชาว Ayleid กระจายอยู่ทั่วไปใน Cyrodiil ซึ่งบัดนี้เหลือเพียงซากปรักหักพัง ในปี 1E 242 ราชินีของทาสชาว Nedic ราชินี Alessia นำกลุ่มกบฎ Alessian Slave Rebellion โค่นล้มการปกครองของชาว Ayleid ชาวเหตุการณ์นั้นชาว Ayleid จำนวนมากได้หนีสู่แคว้นข้างเคียง หลังจากจบยุคที่ 1 (First Era) ชาว Ayleid ส่วนใหญ่ได้สูญพันธุ์ลง ซึ่งชาว Ayleid คนสุดท้ายคือ Laloriaran Dynar the last Ayleid ได้เสียชีวิตลงในปี 2E 582.

ศาสนาและความเชื่อ[]

นพเทวะ (The Nine Divines)[]

Nine Divines

นพเทวะ

นพเทวะ (Nine Divines) เป็นหนึ่งศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน Tamriel ประกอบไปด้วย Aedra ทั้งหมด 8 องค์และผู้ก่อตั้งจักรวรรดิที่ 3 แห่ง Tamriel (The Third Empire) Tiber Septim (Talos) เป็นเทพ(ที่แสดงลักษณะ)เพศชาย 6 องค์ และเพศหญิง 3 องค์ ใน Cyrodiil วิหารบูชามีอยู่ทั่วไปในเมืองใหญ่ และยังมีแท่นบูชากระจายอยู่ทั่วไปตามถนนใน Cyrodiil นอกจากนี้เทพ Aedra ยังปรากฎอยู่ในศาสนาของวัฒนธรรมในภูมิภาคอื่นๆอีกด้วย

เนื่องจาก Talos นั้นไม่ใช่เทพตั้งแต่กำเนิด ในบางนิกายอาจเรียกว่า "The Eight And One" ในปี 4E 200 Talos ได้ถูกนำออกจากนพเทวะ จากสนธิสัญญา White-Gold Concordat ซึ่งกำหนดให้การบูชา Talos เป็นสิ่งผิดกฎหมาย

นพเทวะแห่ง Cyrodiil (The (Twelve) Nine Divines of Cyrodiil)[]

ภาคีแห่ง Alessia (The Alessian Order)[]

Alessia Statue

รูปปั้นของ St.Alessia

ศาสนาที่บูชาเทพเจ้าองค์เดียวนั้นเคยเป็นที่นิยมใน Cyrodiil แต่ในปัจจุบันได้สูญสลายไปเกือบหมดแล้ว ต้นกำเนิดของศาสนานี้เกิดที่ป่าบริเวณชายฝั่งตะวันตกของ Colovia ซึ่งโหราจารย์นาม Marukh ผู้สนทนากับ "เอกะพุทธะ (The Enlightened One)" นักบุญ Alessia ซึ่งเริ่มการตั้งคำถามถึงความสมเหตุสมผลในกฎของชาวเอลฟ์ ทัศนะดังกล่าวนำมาซึ่งการเพิ่มขึ้นของความเป็นนามธรรมและทำให้ยากที่จะพรรณณาการมีอยู่ของเอกะเทวะ (The Single God)

ด้วยความหลักแหลมของ Alessia เขาได้รวบรวมส่วนต่างๆของศาสนาเก่าแก่ที่บูชาเทพเจ้าหลายองค์หลายๆส่วนมาประกอบกัน เพื่อให้ศาสนาของของเขาเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง แต่เดิมเทพเจ้าถูกบูชาในมนุษย์หลายกลุ่มด้วยรูปลักษณ์ที่ต่างๆกัน ซึ่งชาว Aldmer ตีความในแง่การจำแลงของเทพเจ้าในรูปลักษณ์จำนวนเหลือคณานับซึ่งพัฒนามาเป็นบทบัญญัติของ Alessia ในภายหลังไม่นานก่อนที่ภาคีแห่ง Alessia จะกระจายออกไปทั่ว Tamriel

อิทธิพลของภาคีแห่ง Alessia คงอยู่กว่า 1 ใน 3 ของช่วงเวลาในยุคที่ 1 ภายหลังได้เกิดการต่อสู้กันเองภายในภาคีหรือ The War of Righteousness ทำให้ภาคีผู้เคยแผ่ขยายความเชื่อไปทั่ว Tamriel ล่มสลายลงภายในเวลาไม่ถึงทศวรรษ

วัฒนธรรม[]

วัฒนธรรม Imperial เป็นการรวบรวมวัฒนธรรมที่ต่างๆกันหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกันผ่านองค์จักรพรรดิ, ระบอบอำมาตยาธิปไตย, กฎหมาย, กองทัพ และการยอมรับได้ในศาสนาความเชื่อที่แตกต่างกันของพลเมือง การศึกษาและทรัพย์สินได้กระจายออกไปในวงกว้างทั่วทุกระดับสังคมทุกๆที่ ที่อารยธรรม Imperial ได้เจริญไปถึง

ประชากรศาสตร์[]

ประชากรส่วนมากของ Cyrodiil เป็นชาว Imperial แต่ก็มียังมีหลายชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในแคว้นนี้ บ่อยครั้งที่เกิดการขัดแย้งขึ้นระหว่างชาว Khajiit และชาว Argonian

ประชากรชาว Nord มักศัยอยู่ในเมืองทางเหนือ Bruma

ชาวเอลฟ์ส่วนใหญ่อยู่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปใน Cyrodiil อย่างไม่จำเพาะเจาะจง ยกเว้นบางเมืองเช่น Chaydinhal ที่มีประชากรชาว Dunmer (Dark Elf) อาศัยอยู่จำนวนมากเนื่องจากความใกล้ชิดกับแคว้น Morrowind ส่วนชาว Orc นั้นพบไม่มากนัก Cyrodiil

การปรากฎใน The Elder Scrolls ภาคต่างๆ[]

  • The Elder Scrolls: Arena
  • The Elder Scrolls II: Daggerfall (Mentioned only)
  • The Elder Scrolls Adventures: Redguard (Mentioned only)
  • The Elder Scrolls III: Morrowind (Mentioned only)
    • The Elder Scrolls III: Bloodmoon (Mentioned only)
  • The Elder Scrolls IV: Oblivion
    • The Elder Scrolls IV: Shivering Isles
    • The Elder Scrolls IV: Knights of the Nine
  • The Elder Scrolls V: Skyrim (Mentioned only)
    • The Elder Scrolls V: Dawnguard (Mentioned only)
    • The Elder Scrolls V: Dragonborn (Mentioned only)
  • The Elder Scrolls Online
    • The Elder Scrolls Online: Imperial City

อ้างอิง

  1. The Adabal-a
  2. The Daggerfall Chronicles page 45
  3. The Elder Scrolls Online: Alliances at War, Zenimax Online Studios
Advertisement